Content Marketing คืออะไร? ใช้อย่างไรให้เหมาะกับปี 2022 (พร้อมตัวอย่าง)

ในยุคที่โซเชียล มีเดียมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคบนโลกออนไลน์ ทำให้การแข่งขันการทำการตลาดรุนแรงและดุเดือดมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น organic หรือ paid ก็ล้วนส่งผลต่อแบรนด์และสินค้าต่างๆ ทำให้ช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างข้อได้เปรียบให้กับแบรนด์ได้ และพลาดไม่ได้เลย หากพูดถึงการตลาดบนโซเชียล มีเดีย แล้วจะไม่พูดถึงการทำ content marketing ที่กลายเป็นอาวุธสำคัญในยุคนี้

Content Marketing คืออะไร?

Content Marketing คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นการสร้างสรรค์และนำเสนอสิ่งที่มี “คุณค่า” และสอดคล้องกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าไว้ตามจุดประสงค์ทางการตลาดต่างๆ เช่น

  • การสร้างการรับรู้
  • การสร้างการมีส่วนร่วม
  • การเพิ่มยอดขายออนไลน์

เป็นต้น และสุดท้าย Content Marketing มักจะเป็นสิ่งที่ทำเพื่อขับเคลื่อนองค์กร ไม่ว่าจะเป็น ภาพลักษณ์, ความสัมพันธ์กับลูกค้า และกำไร

Content Marketing สำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องทำ?

Content กลายเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์หรือธุรกิจตอบคำถาม สื่อสารกับผู้บริโภคได้อย่างดี และสามารถสร้างความไว้วางใจ การเปลี่ยนแปลง และนำเสนอสิ่งที่แบรนด์ต้องการพูดออกไปได้ ในขณะเดียวกันกลุ่มเป้าหมายก็จะคาดหวังใน Content ที่มีคุณภาพ สม่ำเสมอ และตอบโจทย์ต่อความต้องการด้วย
Content Marketing เรียกได้ว่าเป็น Pull Strategy ที่จะดึงลูกค้าเข้ามาสู่แบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และธุรกิจได้มากกว่า Push Strategy เพราะสามารถเลือกคอนเทนต์ที่เหมาะสม กลุ่มเป้าหมายชอบ ต้องการ และพึงพอใจได้ง่าย ซึ่งเป็น “กลยุทธ์เชิงรุก” ที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกลุ่ม และมีคุณค่ามากกว่านั่นเอง 

ลักษณะของ Content ตามจุดประสงค์

การทำคอนเทนต์มีจุดมุ่งหมายหลักๆคือการสร้างให้เกิดการสื่อสารระหว่างกลุ่มเป้าหมายกับแบรนด์ โดยการสื่อสารด้วยสื่อลักษณะต่างๆ รวมไปถึงสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์นั้นๆ ซึ่งการทำคอนเทนต์สามารถแบ่งไป ดังนี้

  1. คอนเทนต์เพื่อความบันเทิง หรือ Entertain Content เป็นคอนเทนต์ที่เกิดความสนุกสนาน เช่น เกมชิงรางวัล ถามตอบ ไวรัล หรือเป็นคอนเทนต์แนวสนุกสนาน มักจะใช้บน Social Media เช่น Facebook ทำให้เกิด engagement แบบ organic จำนวนมาก
  1. คอนเทนต์ให้เกิดแรงกระตุ้น หรือ Inspire Content เป็นคอนเทนต์ที่นิยมใช้นักแสดง ดารา ผู้มีอิทธิพล มารีวิวสินค้า เพื่อให้เกิดการรู้จัก และเกิดการซื้อได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างคอนเทนต์ที่มีพรีเซนเตอร์ จาก PubG

  1. คอนเทนต์ความรู้ หรือ Educate Content เป็นคอนเทนต์ที่มีความหลากหลายมากไม่ว่าจะ VDO, Infographic, บทความฮาวทู, หรือรายงานผล ฯลฯ ซึ่งส่วนมากจะก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสินค้าหรือแบรนด์นั่นเอง
  1. คอนเทนต์โน้มน้าว หรือ Convince Content เป็นคอนเทนต์ที่หลายๆแบรนด์นิยมทำ เพราะเป็นการทำคอนเทนต์ทั่วไป เช่น ราคา โปรโมชั่น ลักษณะเด่นของสินค้า โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เป็นต้น ซึ่งทุกๆแบรนด์มักจะมีเพื่อให้เกิดการแรงจูงใจในการซื้อนั่นเอง

Content มีกี่รูปแบบ? อะไรบ้าง?

ประเภทของคอนเทนต์มีหลากหลาย ซึ่งคอนเทนต์แต่ละประเภทเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสามารถใช้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งประเภทของการทำคอนเทนต์ที่นิยมใช้มากที่สุด มีดังนี้

  1. Blog Content (บล็อก) สำหรับธุรกิจแล้วการทำบล็อกโพสต์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีข้อมูลมากๆ หรือต้องการความน่าเชื่อถือ และเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสื่อสารกับผู้ใช้อย่างสม่ำเสมอ
    ข้อดีของบล็อก : ใช้เวลาไม่นานในการสร้างคอนเทนต์ สามารถพบเจอได้ง่าย และง่ายในการบอกต่อหรือแบ่งปัน ถือเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ และยังสามารถกระตุ้นการเข้ารับชมเว็บไซต์จำนวนมากได้ด้วย
    ข้อผิดพลาดในการทำบล็อกที่มักเจอบ่อยๆ : การไม่อัพเดตบล็อกเป็นประจำจะทำให้สูญเสียผู้เข้าชมได้ง่าย และหลายๆครั้งมักจะเจอการทำบล็อกที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การไม่มี CTA เพื่อสร้างโอกาสในการขาย เป็นต้น ทำให้การเขียนบล็อกไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ
  2. Longform Content ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายต่อการสร้างสมาชิก และผู้เข้าใช้งาน โดยนิยมใส่คำว่า “สมัครรับข่าวสาร เราจะแจ้งให้คุณทราบเป็นคนแรกเมื่อมีเนื้อหาใหม่ๆมา” Longform Content ไม่ใช่แค่บทความสั้นๆ 1,000 คำเท่านั้น แต่จะมีมากถึง 5,000 – 15,000 คำ ประกอบด้วยหลายๆบท ที่เชื่อมกันไว้ด้วย URL ซึ่งเป็นเนื้อหาต่อเนื่องกัน และมีคุณค่าต่อผู้อ่าน จบครบในเว็บไซต์เดียวโดยไม่ต้องไปค้นหาเพิ่มเติม
  1. Case Study (กรณีศึกษา) เป็นข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมสถานการณ์หรือตัวอย่างในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ซึ่งให้ทั้งความรู้และข้อปฏิบัติ เต็มไปด้วยข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง และตรงไปตรงมา เป็นเนื้อหาที่มีอิทธิพลทางความคิด และเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถสร้างการแบ่งปันได้สูง 
    ข้อผิดพลาดในการทำกรณีศึกษาที่มักเจอบ่อยๆ : การรายงานผลภาพรวมโดยไม่เจาะลึกถึงข้อมูลที่นำมาเผยแพร่ และไม่มีการตีความ ทำให้ผู้อ่านไม่สนใจ และไม่เห็นประโยชน์ 
  1. E-Book (หนังสืออิเล็กทรอนิกส์) สามาถใช้ดึงดูดนักอ่านได้อย่างต่อเนื่องและตลอด ถึงแม้จะใช้การลงทุนสูงและระยะเวลานานในการเขียนอีบุ๊ก แต่มักจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเพราะเป็น Evergreen Content ที่ช่วยสร้าง Conversion ได้อย่างยาวนาน การทำ E-book มีความยาวหน้าได้ตั้งแต่ 5-30 หน้า และเต็มไปด้วยข้อมูลที่เสนอวิธีแก้ปัญหาอย่างแท้จริง และโน้มน้าวให้ผู้คนหลงเชื่อได้
  1. Infographic Content (อินโฟกราฟิก) เป็นการสรุปข้อมูลจำนวนมากในภาพเดียว และเข้าใจง่าย มักจะเป็นคอนเทนต์ที่แสดงสถิติ ความแตกต่าง และกรณีศึกษา ที่มีความหลากหลายของข้อมูล นำมาเรียบเรียงให้อ่านง่าย ซึ่งข้อดีของคอนเทนต์ลักษณะนี้ง่ายต่อการแบ่งปัน และสร้างคุณค่าได้มาก
  1. Video Content (วีดีโอ) เป็นการทำคอนเทนต์แบบไดนามิก ที่สร้างผู้ชมได้มากกว่าอ่านข้อความ เนื้อหาการทำวีดีโอแตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ ส่วนมากจะสร้างการมีส่วนร่วมและความเข้าใจได้มากกว่าคอนเทนต์อื่นๆทั่วไป เพราะเป็นการสรุปเนื้อหาต่างๆไว้ในวีดีโอ และยังเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเผยแพร่ แต่การทำคอนเทนต์วีดีโอที่ดีนั้น ควรรวมไปถึงการทำ CTA ในตอนสุดท้ายเพื่อให้เกิดการขยายความ และโน้มน้าวให้เกิดการกระทำต่อไปอีกด้วย

สิ่งสำคัญในการทำคอนเทนต์ คือ การวัดผลลัพธ์ในระยะยาว ว่าคอนเทนต์แบบไหนที่เหมาะสมและจะสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้ เพราะการทำคอนเทนต์ก็ถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่จะสร้างภาพลักษณะและสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ แต่ก็ยังใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ดังนั้น ควรจะประเมินถึงความคุ้มค่าในการทำคอนเทนต์ด้วย ไม่ว่าจะในเชิงสร้างการรับรู้ สร้างการมีส่วนร่วม และสร้าง conversion ก็ตาม

Leave a Comment

Scroll to Top