what-is-google-trend-how-to-use

Google Trend คืออะไร นำมาใช้กับธุรกิจได้อย่างไร พร้อมสอนวิธีใช้ง่ายๆ

Google Trend คือ เครื่องมือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความนิยมและแนวโน้มของคำค้นหาใน Google ในระยะเวลาและพื้นที่ต่าง ๆ ในโลก ซึ่ง Google Trend ทำให้นักการตลาดและนักวิเคราะห์สามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนและตัดสินใจในกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เช่น การตลาด การวางแผนคอนเทนต์ รวมไปถึงผู้ประกอบการที่อยากเริ่มต้นธุรกิจแต่ไม่รู้ว่าควรขายอะไรดีนะ? สินค้าที่กำลังนิยมมีอะไรบ้าง บทความนี้จึงอยากมาช่วยแนะนำวิธีการใช้งาน Google Trends ให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้ทุกคนได้รู้กัน

Google Trend คืออะไร

Google Trends เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสำรวจความนิยมของคำค้นหาในช่วงเวลาที่กำหนด โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาและความสนใจสำหรับหัวข้อ คำสำคัญ และคำค้นหาต่าง ๆ ในภูมิภาคและภาษาต่าง ๆ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเราสามารถระบุหัวข้อที่กำลังมาแรง เข้าใจรูปแบบการค้นหา เปรียบเทียบความนิยมของข้อความค้นหาต่าง ๆ และรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้รวมถึงการหาสินค้าที่น่าสนใจได้อีกด้วย

ข้อดีของ Google Trend กับการทำธุรกิจ

businesswoman-working-laptop

ดังที่กล่าวไปแล้วว่า Google Trend Search ทำให้เรารู้ได้ว่าตอนนี้หรืออดีตที่ผ่านมามีคำค้นหาใดกำลังเป็นที่นิยมจากผู้ใช้งาน Google บ้าง รวมไปถึงสามารถเช็คเปรียบเทียบได้ด้วยว่า “คำค้นหา” ใดที่มีจำนวนการค้นหามากกว่ากัน

นั่นหมายความว่าถ้าเรากำลังลังเลว่าจะขาย “เสื้อผ้า” หรือ “กระเป๋า” ดี การใช้ Google Trend 2023

มาช่วยแสดงจำนวนการค้นหาซึ่งบ่งบอกได้ถึงความสนใจในช่วงเวลานั้นก็เป็นวิธีที่ดีมาก แต่นอกจากนั้นแล้ว Google Trends ยังมีประโยชน์กับธุรกิจได้อีกหลายมิติ ดังนี้

1. รู้จักลูกค้ามากขึ้นด้วย Keyword

เราสามารถใช้ Google Trends Keyword ในการทำความรู้จักกับลูกค้าได้ดีขึ้นได้ ด้วยการพิมพ์คีย์เวิร์ดสินค้าที่เราอยากจะขาย เช่น เครป ลงไปในช่องค้นหา จากนั้น Google Trends Api จะแสดงผลออกมา ทั้งจำนวนที่คำนี้ถูกค้นหาและจังหวัดที่คนสนใจคำนี้เยอะด้วย แล้วถ้าจังหวัดที่เราอยากทำธุรกิจไม่ได้เป็นคำที่คนในพื้นที่นั้นสนใจมากนัก การลองหาไอเดียสินค้าใหม่ ๆ ก็อาจจะเป็นไอเดียที่ดีกว่า

2. หาไอเดียดี ๆ ทำ Content Marketing

การใช้ Google Trends นอกจากจะช่วยหาไอเดียว่าจะขายสินค้าอะไรดีแล้ว การทำ Digital Marketing หรือ การตลาดออนไลน์ เครื่องมือนี้ก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีมาก เพราะคำที่มีการค้นหาเยอะบน Google ก็ดีต่อการทำ SEO ของเราด้วย ถ้าเราเลือกคำค้นหาที่มี Search Volume เยอะไปทำคอนเทนต์ประเภทต่าง ๆ ก็มีโอกาสที่สินค้าจากธุรกิจของเราจะติดหน้าแรกบน Google หรือผลการค้นหาแรก ๆ ของแต่ละแพลตฟอร์ม และนั่นก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการมียอดขายที่พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

3. ใช้ Google Trend เปรียบเทียบ Keyword

สำหรับนักการตลาดที่ต้องทำการตลาดออนไลน์น่าจะเข้าใจกันอยู่แล้วว่า การเลือก “Keyword” มาทำการตลาดออนไลน์นั้นสำคัญแค่ไหน ถึงแม้สินค้าจะน่าสนใจหรือราคาเบาสบายกระเป๋าเพียงใด แต่ถ้าการตลาดออนไลน์ไม่ปังเพราะเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มี Search Volume น้อย ๆ ก็ทำให้การเข้าถึงสินค้ามีน้อยไปด้วย

เช่นคำว่า “เสื้อผ้าผู้หญิง” กับ “เสื้อผ้าสวย ๆ” ซึ่งมองเผิน ๆ ทั้งสองคำเป็นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าของผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่ แต่เมื่อเทียบผลการค้นหาแล้วคำว่า “เสื้อผ้าผู้หญิง” มียอดที่สูงกว่าคำว่า “เสื้อผ้าสวย ๆ” ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

นั่นหมายความว่าถ้าต้องการเปิดร้านขายเสื้อผ้าของผู้หญิงที่มีความสวยงาม การเลือกใช้คีย์เวิร์ดจาก Google Trends Analysis

ก็ควรใช้คำว่า “เสื้อผ้าผู้หญิง” มากกว่านั่นเอง (โดยเราสามารถเลือกเปรียบเทียบคีย์เวิร์ดได้สูงสุด 5 คีย์เวิร์ด)

4. เช็คเรื่องที่กำลังเป็นกระแสแบบ Realtime

หากเราเป็นคนหนึ่งที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะขายอะไรดี สามารถหาไอเดียจาก Google Trends สินค้าขายดี 2023 ได้ ด้วยการไปที่แท็บ “Trending Now” จะมีการแสดงหน้าคีย์เวิร์ดที่มีคนสนใจเยอะมาก ๆ ในตอนนี้จากหลากหลายเว็บไซต์ ซึ่งเราก็สามารถนำข้อมูลจาก Google Trends ส่วนนี้มาเป็นไอเดียขายสินค้าหรือแนวทางเพิ่มเติมในการทำการตลาดได้เช่นกัน

5. เรียนรู้จาก “คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง” บน Google Trend

คำค้นหาที่เกี่ยวข้องใน Google Trends คือ คำค้นหาที่มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับคำค้นหาหลักที่เรากำลังวิเคราะห์ คำค้นหาที่เกี่ยวข้องสามารถช่วยให้เราเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มการค้นหาและความสัมพันธ์ของคำค้นหาต่าง ๆ ในหมวดหมู่หรือช่วงเวลาที่เรากำลังสนใจ

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรากำลังวิเคราะห์คำค้นหา “รองเท้าวิ่ง” คำค้นหาที่เกี่ยวข้องอาจรวมถึง

“รองเท้าวิ่ง Adidas”

“การออกกำลังกาย”

“Smart Watch สำหรับการวิ่ง”

“การวิ่งในประเทศไทย”

“วิธีดูแลรองเท้าวิ่ง”

การระบุคำค้นหาที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับหัวข้อหรือหมวดหมู่ที่กำลังศึกษา และอาจช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มการค้นหาที่เกี่ยวข้องกันได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจในการวางแผนการตลาดอย่างเหมาะสมมากขึ้นได้ตามไปด้วย

วิธีใช้ Google Trend

how-to-use-google-trend

Google Trends เป็นเครื่องมือที่ดีมาก ๆ สำหรับหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ, นักการตลาด, Content Creator เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย และใช้ได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้งด้วย ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. เข้าไปที่เว็บไซต์ Google Trends

เริ่มต้นโดยการเข้าสู่เว็บไซต์ ไปที่ >> https://trends.google.co.th/

2. เลือกแท็บค้นหา

ในช่องค้นหาด้านบน สามารถป้อนคำค้นหาหรือหัวข้อที่สนใจ เพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับความนิยมได้ โดยช่องนี้เราสามารถใส่เป็นภาษาอะไรก็ได้ที่เราคิดว่าคนน่าจะคลิก เช่น คำว่า KFC แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ แต่คนไทยจำนวนมากก็นิยมใช้เช่นกัน หรือจะเป็น เคเอฟซีก็ได้ ถ้าเราสนใจเปรียบเทียบว่าคนในประเทศไทยนิยมใช้คำไหนมากกว่ากัน ดังตัวอย่างตามภาพข้างล

kfc-keyword

3. ปรับแต่งการค้นหา

เมื่อเราค้นหาแล้ว สามารถปรับแต่งการค้นหาด้วยตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีดังนี้

  • ระยะเวลา: เราสามารถเลือกช่วงเวลาที่สนใจ เช่น ปีล่าสุด, 30 วันล่าสุด, หรือเลือกปรับแต่งเป็นช่วงเวลาที่ต้องการได้เลย แต่ส่วนตัวแนะนำว่าควรเลือกระยะเวลา 30 วันขึ้นไป เนื่องจากระยะเวลาที่น้อยกว่านั้นระบบก็อาจจะยังไม่อัปเดตและข้อมูลเกี่ยวกับการค้นหาก็อาจจะไม่ได้มีผลมากต่อการเลือกมาทำการตลาดเพราะเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นเกินไป
  • ประเทศ/ภูมิภาค: สามารถเลือกประเทศหรือภูมิภาคที่สนใจ เพื่อดูข้อมูลความนิยมในพื้นที่ที่กำลังดูแลธุรกิจหรือต้องการทำการตลาด แต่ถ้าอยากทำธุรกิจในประเทศไทย ส่วนนี้ต้องเปลี่ยนเป็น Google Trends Thailand
  • หมวดหมู่: สามารถเลือกหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาได้เลย เช่น ศิลปะ, ความสวยงาม, หนังสือ, อาหาร, เกม และอื่น ๆ
  • แพลตฟอร์ม: อยากรู้ข้อมูลในส่วนไหน เราสามารถเลือกได้ เช่น การค้นหาภาพ, ข่าว, ช้อปปิ้ง, ยูทูป

4. ดูข้อมูลและแผนภาพ

Google Trends จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับความนิยมของคำค้นหาหรือหัวข้อของเราในรูปแบบของกราฟ และรายการข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เราสามารถดูแนวโน้มการค้นหาของคำค้นหานั้น ๆ ในระยะเวลาต่าง ๆ และเปรียบเทียบกับคำค้นหาอื่นได้ นี่เป็นวิธีใช้ Google Trends หาของมาขายที่ทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้นว่าสินค้าไหนที่กำลังเป็นกระแสและเหมาะกับพื้นที่ที่เราต้องการจำหน่ายหรือไม่ ได้อย่างชัดเจน

google-trends-performance

5. ใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

นอกจาก Google Trend จะสามารถบอกเราได้แล้วว่า Keyword ไหนได้รับความนิยมมากกว่ากัน เพื่อประโยชน์ในการใช้งานสูงสุด เราสามารถเลือก Keyword ที่น่าสนใจจากแท็บ “คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง” เพื่อเป็น Idea ในการคิดคอนเทนต์ที่น่าจะตอบโจทย์ลูกค้าของเราได้อีกด้วย เช่น บทความ, วิดีโอ, อินโฟกราฟิก และอื่น ๆ

google-trend-related-keyword

6. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา

หลังจากได้ข้อมูลที่เราต้องการ เราสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการวางแผนการตลาด เลือกหัวข้อเนื้อหา ปรับแผนโปรโมชั่น เพิ่มสินค้าหรือบริการใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

7. ติดตามและประเมินผล

อย่าลืมติดตามแนวโน้มการค้นหาและประเมินผลการใช้ข้อมูลจาก Google Trends ในกิจกรรมของเรา ซึ่งจะช่วยให้เราปรับแผนการตลาดและการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค

Google Trends เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเข้าใจความสนใจของผู้คนและแนวโน้มในตลาด ที่จะช่วยให้เราวางแผนและดำเนินธุรกิจของเราอย่างมีประสิทธิภาพ

(เรียนรู้สาระดี ๆ เกี่ยวกับการทำการตลาดออนไลน์เพิ่มเติมฟรี ได้เลยที่นี่)

ที่มา:

Scroll to Top