ขายของออนไลน์ 2023 มือใหม่ ที่อยากขายของแต่ไม่รู้จะขายอะไรดี ให้รวย ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร ถ้าไม่สต๊อกสินค้าสามารถขายได้ไหม ขายอย่างไรให้ปัง เรื่องราวทั้งหมดนี้ เราจะมาเล่าผ่านประสบการณ์ตรงของทีมงานของเราที่เคยทำยอดขายไปจนถึงหลัก 10 ล้านบาทต่อเดือน
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
มือใหม่ อยากขาย ขายอะไรดี ไม่รู้จะขายอะไรดี
“เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” คำๆนี้นั้นยังใช้ได้เสมอและใช้ได้อยู่เรื่อยมา ซึ่งก่อนอื่นนั้นต้องบอกเลยว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดของขายสินค้านั้นคือเรื่องของ สินค้า หรือ บริการ ที่เรากำลังจะขาย
“ขายอะไร ไม่สำคัญ เท่ากับขายอย่างไร”
เพิ่มเติม: 10 ช่องทางการขายออนไลน์ (Place) ลงขายสินค้าได้ฟรี
ตัวแทนจำหน่าย ข้อดี และ ข้อเสีย
โดยทั่วไปรูปแบบของการเป็นตัวแทนจำหน่ายนั้น มักจะต้องสต๊อกสินค้า และยิ่งตัวแทนคนไหนที่สามารถสต๊อกสินค้าได้เป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งได้ต้นทุนสูง ซึ่งทำให้ได้เปรียบในการแข่งขันนั่นเอง
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
ใช้เงินทุนน้อย บางแบรนด์เพียงหลักพันก็สามารถนำสินค้ามาขายได้ | มีคู่แข่งจากคนที่ไปสมัครเป็นตัวแทน |
สามารถนำสื่อโฆษณาของแบรนด์มาโปรโมทได้ | เกิดการตัดราคาในออนไลน์ |
ดรอปชิป (Dropship) ข้อดี และ ข้อเสีย
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
ไม่ต้องใช้เงินลงทุนในสินค้า | สินค้าเกิดการแข่งขันอย่างรวดเร็ว |
ไม่สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้ | ไม่สามารถขยายตลาดได้ |
ปัจจัยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับผู้ที่เราดีลด้วย | มีข้อจำกัดในเรื่องของการจัดส่ง |
ผลิตสินค้าเอง ข้อดี และ ข้อเสีย
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
สามารถขยายตลาดได้อย่างเต็มที่ | ใช้ต้นทุนในการผลิตเยอะ (หลักหมื่นถึงหลักแสน) |
ควบคุมคุณภาพสินค้าได้เอง | ใช้เวลานาน |
ความคุมต้นทุนในการผลิตได้ | |
มีขั้นตอนการดำเนินงานที่ซับซ้อน |
นำเข้าสินค้าเอง ข้อดี และ ข้อเสีย
เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการหาสินค้าที่ได้รับความนิยมมากรูปแบบหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากว่าการหาสินค้าที่ไม่เคยขายหรือถูกจัดจำหน่ายจากต่างประเทศเข้ามาเลยนั้น ช่วยให้เราประหยัดเรื่องของกระบวนการผลิตไปมาก
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
สามารถขยายตลาดได้อย่างเต็มที่ | ใช้ต้นทุนในการผลิตเยอะ (หลักหมื่นถึงหลักแสน) |
ควบคุมคุณภาพสินค้าได้เอง | ใช้เวลานานในการจัดส่งสินค้าเข้าประเทศ |
ความคุมต้นทุนในการผลิตได้ | มีความเสี่ยงในการได้รับสินค้าที่ไม่ตรงคุณภาพ |
มีขั้นตอนการดำเนินงานที่ซับซ้อน |
เว็บหาสินค้าจีนยอดนิยม: alibaba.com
3 ขั้นตอนการประเมิณตลาดของคนขายของ ต้องรู้อะไรบ้าง?
ประการแรกเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะว่ามันจะเป็นตัวกำหนดสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้กับเราได้แก่
- กลุ่มเป้าหมายทางการตลาด (Market Target): ลองคิดภาพตามที่ว่าถ้าหากว่าเราขายสินค้าโดยที่เราไม่ได้เข้าใจลูกค้า มันจะมีปัญหาต่างๆมากมายตามเข้ามา เช่น โฆษณาสื่อสารไม่ตรง สินค้าไม่เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงความเข้าใจในการตอบคำถามและบริการต่างๆให้กับลูกค้า
เพิ่มเติม: 5 เงื่อนไขที่ใช้ในการเลือกกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด (Target Market) - ขนาดตลาด (Market Size): ขนาดของตลาดของสินค้ากลุ่มนั้นๆจะบอกเราได้ว่าในอนาคตนั้นเราสามารถโตได้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างเช่น หากว่าเราทำสินค้าที่เกี่ยวกับอาหารเสริมบำรุงข้อ และภาพรวมของประเทศมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นทุกๆปี นั่นหมายถึงโอกาสที่เรานั้นสามารถเติมโตได้ในอนาคตนั่นเอง ยอดขายหรือกำไรที่เราได้จะสัมพันธ์กับขนาดตลาด
- คู่แข่งในตลาด: แน่นอนว่าเวลาเราจะเริ่มขายสินค้าหรือบริการนั้น เราต้องศึกษาคู่แข่งก่อนเสมอ สิ่งที่เราควรพิจารณาเป็นพิเศษนั้นคือในเรื่องของ ราคา ต้องตรวจสอบดูว่าราคาสินค้าในตลาดเป็นอย่างไร จำนวนคู่แข่งเยอะไหม สินค้าทดแทนมีมากน้อยแค่ไหน
ส่วนต่างๆด้านบนนี้เป็นส่วนสัมคัญมาก แน่นอนว่าทุกๆคนที่ขายสินค้าออนไลน์นั้นควรที่จะตรวจสอบว่าสินค้าที่เราจะผลิตหรือเป็นตัวแทนจำหน่ายนั้น เรามีโอกาสและมีอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน
12 เทคนิค ขายของออนไลน์ ให้ยอดขายพุ่งตั้งแต่เริ่มต้น
1. เทคนิคการเลือกสินค้าที่จะขาย
สินค้า (Products) เป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างยอดขายให้กับร้านค้า ดังนั้น การเลือกสินค้าที่ได้รับความนิยม หรือเป็นที่ต้องการของตลาดหรือกลุ่มเป้าหมายก็จะทำให้สินค้าขายดีมากยิ่งขึ้น หากมีสินค้าที่จะขายอยู่แล้ว แค่ต้องวิเคราะห์จุดขาย และวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมก็สามารถวางแผนกลยุทธ์การขายได้แล้ว แต่หากยังไม่รู้ว่าจะขายอะไรดี สามารถใช้ Google Trends มาช่วยตัดสินใจได้
Google Trends เป็นเครื่องมือที่เจาะพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลต่างๆทั่วโลกบน Google ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่ากระแสใดที่มาแรง หรือคำที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปแบบกราฟหรือแผนภูมิ
ขั้นตอนการใช้ Google Trends
ขั้นตอนที่ 1 เข้าไปที่เว็บไซต์ https://trends.google.co.th/
ขั้นตอนที่ 2 เลือกสำรวจ
ขั้นตอนที่ 3 เลือกประเทศที่ต้องการ ซึ่งหากเราจะขายสินค้าในประเทศไทย เราควรเลือก “ไทย”
ขั้นตอนที่ 4 เลือก ช่วงเวลา ซึ่งเราสามารถเลือกได้หลากหลาย แต่ต้องคำนึงถึง พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงแนะนำให้เลือกไม่เกิน 90 วันที่ผ่านมา เพียงเท่านี้ก็จะเห็นแล้วว่าหัวข้อ หรือคำไหนที่กำลังมาแรงในตอนนี้
นอกจากนี้ยังใส่ข้อความเปรียบเทียบการค้นหาได้อีกด้วย หากมีสินค้าในใจ แต่ยังไม่มั่นใจว่าแบบไหนดีกว่ากัน ก็สามารถเพิ่มข้อความนำไปเปรียบเทียบความนิยมในการค้นหาได้อีกด้วย
หลังจากที่ได้ข้อมูลมาแล้ว ควรทำการวิเคราะห์ว่าสินค้านั้นๆกำลังได้รับความสนใจและได้รับความนิยมมากน้อยเพียงใด และกราฟกำลังอยู่ในช่วงขาลงหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าที่คุณกำลังจะลงทุนนั้นตกเทรนด์ไปก่อนที่จะเริ่มขาย
นอกจากจะดูความนิยมของสินค้าแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆที่จะต้องใช้ประกอบการตัดสินใจ เพราะสินค้าถือเป็นสิ่งสำคัญในการชี้วัดว่าร้านค้าของคุณจะรุ่งหรือจะร่วง เพราะสินค้าเป็นสิ่งที่จะดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าที่ร้านของคุณด้วย
- คุณภาพของสินค้า – ถ้าสินค้าเป็นสินค้าดีมีมาตรฐาน จะทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ซื้อได้มากกว่า
- ราคา – เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ร้านค้าของคุณอยู่รอด นอกจากจะดูที่ต้นทุนแล้ว ยังต้องเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งอีกด้วย
- บรรจุภัณฑ์ – ความสวยงาม คงทน หรือใช้งานได้จริง เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้ด้วย
2. เทคนิคการเลือกแหล่งที่มาของสินค้า กําไรเยอะ ขายง่าย
แหล่งที่มาของสินค้า เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะต้องตัดสินใจก่อนเริ่มทำการขายของออนไลน์ ทำให้แหล่งที่มาของสินค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเริ่มช้ากว่าคนอื่นๆ หรือเลือกเฉพาะสินค้าต้นทุนต่ำก็จะมีคู่แข่งจำนวนมาก หรือหากเลือกสินค้าคุณภาพสูง ต้นทุนสูง ตั้งราคาขายสูง ก็จะทำให้เสียเปรียบคู่แข่งในตลาด ดังนั้น แหล่งที่มาของสินค้าจึงสำคัญ ซึ่งแหล่งที่มาของสินค้า ปัจจุบันมีช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่
สินค้าทำมือ หรือ D.I.Y – แน่นอนว่าหากคุณมีความครีเอทอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาสินค้าที่ไหนมาก็สามารถประดิษฐ์ออกมาได้เลย
ข้อดี สินค้าแตกต่างไม่ซ้ำใคร
ข้อเสีย ใช้ระยะเวลาในการทำสินค้า ไม่เน้นปริมาณยอดขาย เน้นราคาและคุณภาพ
สินค้าจากจีน – ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มายอดฮิต เพราะนอกจากจะมีให้เลือกมากมาย ราคายังถูกอีกด้วย แถมสินค้าแต่ละอย่างยังตามกระแสได้อย่างรวดเร็ว
ข้อดี ต้นทุนต่ำ และสินค้าเป็นที่นิยม
ข้อเสีย คุณภาพของสินค้าตามราคา
จ้างผลิตสินค้า – หากคุณมีทุนมากพอ และมีไอเดียที่จะตีแบรนด์ของตนเอง ต้องการจะมีสินค้าที่เฉพาะเจาะจงในแบบที่ต้องการ การจ้างผลิตเป็นอีกวิธีที่ดีไม่แพ้กัน
ข้อดี มีสินค้าที่แตกต่างจากตลาด มีแบรนด์เป็นของตัวเอง สร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคต
ข้อเสีย ต้นทุนสูง ใช้การเตรียมการมากมาย ทั้ง อย. ใบรับร้อง ค่าวิจัย คิดค้น เป็นต้น
สินค้ามือสอง – กลุ่มเป้าหมายของสินค้ามือสองมีเฉพาะและมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สินค้ามือสองยังคงสร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น กล้อง เสื้อผ้า รองเท้า ของสะสม หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังเป็นที่นิยม สถานที่เช่น โรงเกลือ สำเพ็ง เป็นต้น
ข้อดี ต้นทุนต่ำ ไม่ต้องลงทุนเยอะ
ข้อเสีย แบกรับความเสี่ยงของสินค้าบางชิ้นที่อาจได้รับความเสียหาย
ประมูลสินค้า – สินค้าหายากบางชิ้นยังได้รับความนิยม และมีการปล่อยจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่งเรื่อยๆ ทำให้สินค้าเหล่านั้นมีมูลค่าสูง จึงเหมาะกับคนที่ชื่นชอบของหายากหรือของสะสมหายาก บางครั้งอาจจะได้สินค้าราคาถูกกว่าตลาด ซึ่งก็สามารถสร้างรายได้ได้ดีทีเดียว
ข้อดี บางครั้งจะได้สินค้าที่ถูกกกว่าตลาด หรือบางครั้งจะได้ขายสินค้าที่ราคาสูงกว่าตลาด
ข้อเสีย ไม่มีราคาที่แน่นอน คาดเดายาก ต้องติดตามเทรนด์ตลอดเวลา
สินค้าขายส่งในประเทศ เป็นช่องทางพื้นฐานที่สุดที่นักขายควรรู้ ไม่ว่าจะเป็น สำเพ็ง โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ หรือร้านขายส่งต่างๆทั่วประเทศ เพราะนอกจากจะมีสินค้ามากมายให้เลือก ยังเป็นสินค้าในประเทศที่คนรู้จักโดยทั่วไป
ข้อดี หาง่าย สามารถเลือกสินค้าได้หลากหลาย
ข้อเสีย คู่แข่งสามารถเลือกสินค้าชนิดเดียวกันได้ง่าย
3. เทคนิคการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าคุณอยากขายอะไร หน้าตาสินค้าเป็นแบบไหน คุณต้องทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพื่อนำเสนอสินค้าของคุณให้ถูกจุด เพราะกลุ่มเป้าหมายที่ดีต้องเป็นกลุ่มที่มีโอกาสจะซื้อสินค้าของคุณจริง และการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายยังช่วยให้คุณไม่สูญเสียต้นทุนไปโดยสิ้นเปลือง
การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ตามการแบ่งส่วนตลาด จะแบ่งได้ 4 แบบ ได้แก่
- แบ่งตามหลักประชากรศาสตร์ (Demographic Segmentation) ได้แก่ อายุ เพศ รายได้ ที่อยู่อาศัย อาชีพ การศึกษา ขนาดครอบครัว สถานะ เชื้อชาติ ศาสนา และอื่นๆ
- แบ่งตามหลักภูมิศาสตร์ (Geographic Segmentation) ได้แก่ ประเทศ ภูมิภาค จังหวัด ภูมิอากาศ พื้นที่ในจังหวัด เช่น เมือง ชนบท หมู่บ้าน เป็นต้น
- แบ่งตามหลักจิตวิทยา (Psychographic Segmentation) ได้แก่ ไลฟ์สไตล์ บุคลิกภาพ ความชื่นชอบ สังคมนิยม เป็นต้น
- แบ่งตามหลักพฤติกรรมศาสตร์ (Behavior Segmentation) ได้แก่ ความถี่ในการใช้ ความภักดีต่อสินค้า พฤติกรรมการเลือกซื้อ และอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น
นาย B ขายสร้อยคล้องแมสก์ลายดอกไม้ : กลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาซื้อสินค้าเป็นนักเรียนนักศึกษาผู้หญิง ที่มีอายุ 18 – 25 ปี รายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 10,000 บาทขึ้นไป ตามหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่ กรุงเทพฯ นครราชสีมา นนทบุรี ปทุมธานี ซึ่งพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ชื่นชอบ Instagram ในการเสพคอนเทนต์ และซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Shopee เป็นหลัก อีกทั้งยังชื่นชอบเหล่าบล็อกเกอร์สาวๆ แนวไลฟ์สไตล์มากเป็นพิเศษ
ดังนั้น นาย B สามารถวางกลยุทธ์การขายออนไลน์ได้ ดังนี้
- เปิดร้านผ่าน Shopee และทำคอนเทนต์ผ่านช่องทางทั้ง Facebook / Instagram แต่เน้นที่ Instagram เป็นหลัก
- ตั้งราคาที่ไม่สูงเกินไปในระดับที่นักเรียน นักศึกษาสามารถซื้อได้
- ใช้คนดังต่างๆในการโปรโมทสินค้า เพื่อให้เกิดการบอกต่อ และเป็นที่รู้จัก
- ยิงโฆษณาออนไลน์เน้นในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่ กรุงเทพฯ นครราชสีมา นนทบุรี ปทุมธานี เป็นต้น
นอกจากการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามส่วนตลาด เราสามารถเลือกกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น หรือที่เรียกว่า Niche Market ซึ่งจะเหมาะกับสินค้าบางประเภท ที่เน้นการทำกำไรด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า อย่างสินค้าประเภทของหายาก แรร์ไอเท็ม หรือสินค้าสะสม เป็นต้น
4. เทคนิคการเลือกช่องทางการขาย และการโปรโมทสินค้า
ช่องทางการขายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้คุณได้ และไม่จำเป็นต้องเลือกเพียงช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้น คุณสามารถใช้หลายๆแพลตฟอร์มร่วมกันจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้อีกด้วย ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มจะมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
LAZADA – แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งสามารถเปิดร้านได้ฟรี ข้อดีคือ ระบบการจัดส่ง จัดเก็บสินค้า และระบบการจ่ายเงินที่สะดวกและปลอดภัย อีกทั้ง ยังมีโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าตลอดเวลา แต่ผู้ที่เปิดร้านบนแพลตฟอร์มนี้ได้ ต้องได้รับการยืนยันตัวตน และได้รับการอนุมัติแล้วเท่านั้น ทำให้ผู้ขายแต่ละคนที่อยู่บนแพลตฟอร์มนี้มีความน่าเชื่อถือและได้รับวางใจจากลูกค้า
Shopee – แพลตฟอร์มที่ใครๆก็สามารถเปิดร้านได้ และยังขายได้ทั้งสินค้ามือหนึ่ง และมือสอง และเปิดร้านได้สะดวก และยังมีแคมเปญดึงดูดใจลูกค้ามาคอยช่วยซัพพอร์ตร้านค้าอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น โค้ดส่วนลด คูปองแทนเงินสด เหรียญ Coins และยังมีเกมส์ให้เล่นสนุกๆเพื่อรับรางวัล และยังมีฟังก์ชันการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อด้วยการติดดาวและรีวิว โดยร้านที่มีคะแนนดีก็จะได้รับการส่งเสริมการขายจากช้อปปี้ ด้วยฟังก์ชั่น “ร้านแนะนำ” ทำให้เพิ่มยอดขายได้มากขึ้น และยังมีการเชื่อมต่อกับบริการขนส่งทั่วประเทศ ทำให้ไม่ผู้ซื้อ – ผู้ขาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถส่ง – รับสินค้าได้สะดวกอีกด้วย
Line My Shop – แพลตฟอร์มที่ผู้ซื้อขายสามารถสร้างออเดอร์ให้ลูกค้าได้ทันทีเมื่อลูกค้าสนใจสินค้าต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆที่ต้องรอลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาเท่านั้น ยังมีระบบแจ้งเตือนสถานะของใบสั่งซื้อให้ลูกค้าผ่าน Line Chat ทำให้ติดตามสถานะได้ง่ายขึ้น มีฟีเจอร์จัดการแคตตาล็อก และสต็อกแบบ Realtime สามารถกำหนดจำนวนได้ง่ายอีกด้วย และยังสมัครง่าย ไม่มีค่า GP ทำให้เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงมากในตอนนี้
นอกจากการขายบนแพลตฟอร์ม E-commerce ต่างๆ แล้วการทำการโปรโมทบน Social Media จะสามารถช่วยเพิ่มยอดขาย และเพิ่มการรับรู้ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น
Facebook – แพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย ที่ไม่ว่าใคร ขายของออนไลน์ 2021 ใครๆก็ทำกัน ซึ่งสามารถทำได้ทั้งการทำคอนเทนต์สร้างการรับรู้ หรือการลงสินค้าใน Marketplace อีกทั้งยังสามารถทำโฆษณาเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการได้อีกด้วย และยังเป็นช่องทางที่ง่ายที่สุด การขายใน Facebook ให้ได้ยอดขายดี วิธีที่ได้รับผลลัพธ์ดี คือการโพสต์ขายในกลุ่มต่างๆ ที่เปรียบเสมือนคอมูนิตี้ของคนต่างๆ เช่น หากคุณเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือ ลองค้นหากลุ่ม ซื้อ – ขาย หนังสือ ก็จะมีคนจำนวนมากที่สนใจสินค้าเกี่ยวกับหนังสืออยู่ เพียงแค่โพสต์ลงในกลุ่มนั้นๆได้แล้ว หรือการทำ Facebook Live แล้วแชร์ลงบนเพจ หรือกลุ่มต่างๆก็เป็นอีกเทคนิคที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าด้วย และยังมี Facebook Marketplace ที่สามารถลงขายสินค้าได้และมีผู้ใช้งานจริงหลายล้านคนอีกด้วย
Instagram – การเปลี่ยนบัญชีธรรมดาเป็นบัญชีธุรกิจก็จะสามารถขายของได้อย่างมืออาชีพ ซึ่ง Instagram มีฟังก์ชันที่สำคัญอย่างแฮชแท็กที่จะช่วยให้ร้านเกิดทราฟิกได้มากขึ้น ซึ่งแต่ละโพสต์ที่ติดแฮชแท็กที่เหมาะสมไว้ จะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้มากถึง 12.6% ซึ่งควรเลือกเฉพาะแฮชแท็กที่มีจำนวนคนชมมหาศาล และแฮชแท็กที่มีคนใช้น้อยๆก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเจอสินค้าของเราได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งยังมี Instagram Shopping ที่สามารถแท็กสินค้าบนภาพพร้อมชื่อ และราคาได้อีกด้วย
Line – ช่องทางไลน์ เป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจและควรมี เพราะนอกจากจะสามารถสร้างร้านค้าบน Line shopping ได้แล้ว ยังสามารถแชทพูดคุยกับลูกค้าได้สะดวก และยังทำการบรอดแคสต์โปรโมชั่น หรือสินค้าใหม่ๆกับลูกค้าได้เรื่อยๆอีกด้วย
TikTok – การทำคอนเทนต์บน TikTok จะแตกต่างจากคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มอื่นๆตรงที่เน้นความกระชับ รวดเร็ว และเทรนดี้ คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มนี้เป็นเรื่องท้าทาย แต่มักจะทำให้เกิดการตอบโต้ได้ง่าย อย่างการติด Hashtag ทำคอนเทนต์ให้เข้ากับเทรนด์ หรือนำเรื่องต่างๆที่กำลังอยู่ในกระแส มาเชื่อมโยงเข้ากับธุรกิจก็จะทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้น และสามารถสร้างฐานลูกค้า แฟนคลับ และผู้ติดตามได้จำนวนมาก และรวดเร็วกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีช่องทางการขายสินค้าอื่นๆอีกมากมาย สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 10 ช่องทางการขายออนไลน์ (Place) ลงขายสินค้าได้ฟรี ไม่เสียเงิน
5. เทคนิคการโปรโมทสินค้าให้ได้ยอดขายงาม กําไรเยอะ
การโปรโมทสินค้าถือเป็นสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายบนร้านค้า เพราะนอกจากการแข่งขันแล้ว ลูกค้าจะชื่นชอบโปรโมชั่นต่างๆ เช่น ลดราคา ส่งฟรี หรือซื้อ 1 แถม 1 มากเป็นพิเศษ ซึ่งการกระตุ้น หรือการโปรโมทนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่
- การโปรโมทด้วยโปรโมชั่น ตามวันพิเศษ หรือเทศกาลต่างๆเช่น 6.6 Mid year Sale หรือ Black Friday ลด 50% แล้วสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์อย่าง Facebook, Instagram, LineOA ก็จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสนใจ และตื่นเต้นกับราคาพิเศษ และกระตุ้นให้เกิดการซื้อมากกว่าเดิม
- การทำคอนเทนต์ด้วยวิดีโอ จะช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้าในร้านของคุณได้ชัดเจนมากขึ้น และเกิดการมีส่วนร่วม และเกิดการแชร์ได้ง่าย สร้างการรับรู้ให้ร้านของคุณได้ดีมากๆ หรืออีกหนึ่งวิธีเลยคือการทำ Live เช่น Facebook Live หรือ IG Live พร้อมทั้งสอดแทรกโปรโมชั่นต่างๆไว้ในไลฟ์ก็จะทำให้ขายดีมากขึ้น
- การทำคอนเทนต์ด้วยรูปภาพต่างๆ การลงรูปหรือคอนเทนต์ต่างๆบน Social Media สม่ำเสมอ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ อย่างเช่น การแพ็คของส่งวันนี้ ออเดอร์วันนี้ สินค้าใหม่วันนี้ หรือสาระดีๆ ที่เหมาะกับสินค้าคุณ เช่น หากคุณขายหน้ากากอนามัย วิธีที่ใส่หน้ากากอนามัยให้พอดี และป้องกันได้จริง เป็นต้น
หากโพสต์สินค้าหรือโปรโมชั่นแล้วควรลิ้งค์ไปยังหน้าสินค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดซื้อสินค้าได้ทันที โดยไม่ต้องส่งข้อคความหรือรอแอดมินตอบ เป็นการช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อของออนไลน์จากร้านคุณได้เร็วขึ้น และเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย - การยิงโฆษณา จะช่วยให้เจอกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น และคุ้มค่า อีกทั้งยังสามารถสร้างลูกค้าใหม่ๆได้ด้วย หากมี Facebook, LineOA, Instagram, TikTok อยู่แล้วก็สามารถยิงแอดหรือลงโฆษณาได้เลย
- การสร้างแคมเปญต่างๆ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการขายบนช่องทางออนไลน์ ที่จะสร้างการมีส่วนร่วมกับร้านค้าของคุณ อย่างเช่น กิจกรรมแจกของรางวัล อย่างกดไลค์ กดแชร์ กดคอมเมนต์ แท็กเพื่อน ก็จะได้รับรางวัลไป ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพมากๆ ที่จะสร้างฐานลูกค้า และสร้างการเยี่ยมชมร้านค้าตามช่องทางออนไลน์ต่างๆ และยังช่วยเพิ่มยอดผู้ติดตาม และเพิ่มยอดขายไปได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างดี
- LOYALTY Program เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยสร้างการเกิดการซื้อซ้ำได้บ่อยๆ และดึงดูดลูกค้าให้กลับมาหาร้านค้าได้เรื่อยๆ เช่น การสะสมแต้ม ซื้อครั้งที่ 2 ลด 10% การแนะนำเพื่อนได้รับ cash back หรือการลงภาพที่ใช้งานพร้อมแท็กร้าน ก็นับว่าเป็นการสร้าง Loyalty Program ที่จะสร้างยอดขายได้เรื่อยๆ
- การจ้างรีวิว ด้วยการติดต่อเหล่าบล็อกเกอร์ หรือ Influencer ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการช่วยโปรโมทสินค้าซึ่งมีทั้งฟรี และมีค่าใช้จ่าย ด้วยการให้คนดังพูดถึงหรือทดลองใช้สินค้าของคุณ แต่ต้องมั่นใจด้วยว่ากลุ่มเป้าหมายที่ติดตามคนดังเหล่านั้นตรงกับกลุ่มคนที่จะซื้อสินค้าคุณจริงๆ รวมถึงต้องตรวจสอบด้วยว่ามีคนมีส่วนร่วมกับโพสต์ขงอ Influencer นั้นมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ คุณต้องมั่นใจว่าสินค้าของคุณมีความเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เพราะเมื่อมีออเดอร์เข้ามาจากทุกช่องทางแล้ว มีโอกาสที่สินค้าคุณจะหมด และไม่เพียงพอต่อความต้องการ อาจทำให้ลูกค้าผิดหวัง และไม่กลับมาซื้อของอีกเลย
6. เทคนิคการเลือกช่องทางการชำระเงินที่เหมาะสม
ช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากการเลือกธนาคารที่มีดอกเบี้ยเงินฝากสูงแล้ว ยังต้องคำนึงถึงค่าธรรมเนียมการโอน และระบบการจัดการการชำระเงิน ทั้งการตรวจสอบการโอนเงินด้วยสลิป หรือระบบอัตโนมัติก็จะช่วยให้ร้านค้าสะดวกมากยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต หรือผ่าน Paypal ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะสร้างความสะดวก และทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการชำระเงินได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในไทยจะมีช่องทางที่นิยมดังนี้
- การโอนเงินผ่านธนาคารต่างๆ หรือ Mobile Banking
- บัตรเดบิต/บัตรเครดิตของธนาคารต่างๆ
- การชำระเงินผ่าน PayPal
- การชำระเงินผ่าน TrueWallet
7. การเลือกช่องทางจัดส่งสินค้า
แน่นอนว่าการขายของออนไลน์ต้องมาคู่กับการจัดส่งสินค้า ซึ่งนับเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง เราจึงต้องพิจารณาบริการขนส่ง ไม่ว่าจะเอกชนหรือไปรษณีย์ไทยก็จะมีการวางระบบของรอบการส่งสินค้าที่แตกต่างกัน รวมไปถึงระบบแจ้ง Tracking No. ให้ลูกค้าอีกด้วย ซึ่งมีสิ่งที่ต้องพิจารณา ดังนี้
ต้นทุนการแพ็คสินค้า – ไม่ว่าจะเป็นกล่องบรรจุ อุปกรณ์กันกระแทก การเดินทางไปส่งสินค้า ล้วนเป็นต้นทุนที่ต้องนำมาคำนวน และอย่าลืมด้วยว่าการแพ็คสินค้าเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย
ระยะเวลาการขนส่ง – บริษัทขนส่งจะมีการวางระบบที่แตกต่างกัน รวมไปถึงระยะเวลาการจัดส่งสินค้า รวมไปถึงการแจ้ง Tracking No. ให้ลูกค้าทราบ และติดตามได้สะดวกด้วย
ค่าขนส่ง – ค่าขนส่งที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทขนส่งขึ้นอยู่กับน้ำหนัก และจังหวัดจึงต้องมีการคิดคำนวนให้รอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดการขาดทุน
วิธีการคิดค่าขนส่ง
ประกอบด้วยปัจจัย 2 อย่าง ได้แก่
- ระยะทาง – แต่ละจังหวัด หรืออำเภอจะมีค่าขนส่งที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระยะทาง ซึ่งหากลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ไกลจากภูมิภาคที่เราอยู่
- ขนาด (กว้างxยาวxสูง) และน้ำหนักของสินค้า – ถ้าหากขายสินค้าที่ไม่ได้มีน้ำหนักมากสามารถเลือกบริการขนส่งที่ไหนก็ได้ เพราะค่าจัดส่งไม่แตกต่างกันมากนัก แต่หากเลือกขายสินค้าที่มีน้ำหนักมา โดยเทคนิคง่ายๆคือเลือกใช้กล่องพัสดุที่มีขนาดพอดีกับสินค้า และไม่ใหญ่จนเกินไปจะช่วยลดค่าขนส่งได้ส่วนหนึ่ง
ตัวอย่างค่าบริการขนส่งของแต่ละบริษัท
ไปรษณีย์ไทย
- น้ำหนักสินค้าตั้งแต่ 0- 500 กรัม ทั้งแบบซองและแบบพัสดุภายในประเทศ
มีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 52 บาท (ไม่รวมค่าบรรจุภัณฑ์) - น้ำหนักตั้งแต่ 501 – 1000 กรัม ทั้งแบบซองและแบบพัสดุภายในประเทศ
มีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 67 บาท (ไม่รวมค่าบรรจุภัณฑ์) - น้ำหนักตั้งแต่ 1001 – 1500 กรัม ทั้งแบบซองและแบบพัสดุภายในประเทศ
มีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 82 บาท (ไม่รวมค่าบรรจุภัณฑ์) - น้ำหนักตั้งแต่ 1501 – 2000 กรัม ทั้งแบบซองและแบบพัสดุภายในประเทศ
มีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 97 บาท (ไม่รวมค่าบรรจุภัณฑ์) - น้ำหนักตั้งแต่ 2001 – 2500 กรัม ทั้งแบบซองและแบบพัสดุภายในประเทศ
มีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 122 บาท (ไม่รวมค่าบรรจุภัณฑ์ )
Kerry Express เคอรี่ เอ็กซ์เพรส
เป็นบริษัทขนส่งที่คำนวณค่าบริการ โดยอิงจากขนาดของบรรจุภัณฑ์และน้ำหนัก ซึ่งมีอัตราค่าบริการดังนี้
- กล่อง Size S ต้องมีขนาดไม่เกิน 60 เซนติเมตร น้ำไม่เกิน 5 กิโลกรัม มีค่าบริการไม่เกิน 70 บาท น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม มีค่าบริการไม่เกิน 90 บาท
- กล่อง Size M ต้องมีขนาดไม่เกิน 90 เซนติเมตร น้ำไม่เกิน 10 กิโลกรัม มีค่าบริการไม่เกิน 90 บาท น้ำหนักไม่เกิน 15 กิโลกรัม มีค่าบริการไม่เกิน 170 บาท
- กล่อง Size L ต้องมีขนาดไม่เกิน 120 เซนติเมตร น้ำไม่เกิน 15 กิโลกรัม มีค่าบริการไม่เกิน 170 บาท น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม มีค่าบริการไม่เกิน 250 บาท
- กล่อง Size XL ต้องมีขนาดไม่เกิน 150 เซนติเมตร น้ำไม่เกิน 20 กิโลกรัม มีค่าบริการไม่เกิน 250 บาท
- ถุงพลาสติก น้ำหนักไม่เกิน 3 กิโลกรัม มีอัตราค่าบริการอยู่ที่ 60 บาท (ไม่รวมค่าบรรจุภัณฑ์)
- ซองเอกสารทุกประเภท น้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม มีค่าบริการอยู่ที่ 40 บาท ไม่เกิน 3 กิโลกรัมมีค่าบริการอยู่ที่ 60 บาท
- บริการรับพัสดุถึงที่ มีอัตราค่าบริการชิ้นละ 30 บาท บริการส่งก่อนเที่ยง (AM) โดยคิดราคาเพิ่มชิ้นละ 50 บาท
8. การคำนวนต้นทุน และตัวเลขทางบัญชีเบื้องต้น
การคำนวนต้นทุนเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยเช็คกำไรขาดทุนได้ ยังดูได้ด้วยว่าสินค้าไหนได้รับความนิยมในร้าน และสร้างกำไรได้มากกว่าสินค้าตัวอื่นๆ เพื่อนำไปโปรโมทดึงดูดลูกค้า สูตรการทำบัญชี และคำนวนต้นทุน กำไร สำหรับร้านค้าออนไลน์แบบการคำนวนจุดคุ้มทุน (Break Even Point) ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ เพราะมีเพียง 2 ปัจจัย ได้แก่ ต้องขายเท่าไหร่ถึงจะได้กำไร และต้องขายจำนวนเท่าไหร่ถึงจะคุ้มทุน
ซึ่งการคำนวนต้นทุน จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- ต้นทุนผันแปร (Variable Cost – VC) ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามการลงทุนอื่นๆ เช่น ค่าโฆษณา ค่าขนส่ง ค่าแพ็คเกจ ค่ากล่องขนส่ง เป็นต้น
- ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost – FC) ที่มีตัวเลขตายตัว และคงที่ตลอด เช่น ต้นทุนสินค้าต่อชิ้น ค่าอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
ยกตัวอย่าง นาย A ขาย หน้ากากอนามัย
- ต้นทุนผันแปร
– เดือนมิถุนายน รับสินค้ามา 1,000 ชิ้น รวม 3,000 บาท
– ค่าโฆษณา 2,000 บาท
– ค่าบรรจุภัณฑ์ 1,000 บาท
ต้นทุนผันแปรต่อชิ้น 6 บาท
ต้นทุนคงที่
– ค่าจ้างพนักงานแพ็คสินค้า 5,000 บาท
9. วิธีการคำนวนราคาขายของออนไลน์
ราคาสินค้าต่อชิ้น = [ต้นทุนคงที่ + (ต้นทุนผันต่อชิ้นxปริมาณสินค้า)]/100
= [5,000 + (6×1,000)]/100
= 110 บาท/ชิ้น
วิธีการคำนวนจุดคุ้มทุน
จุดคุ้มทุน(จำนวนหน่วย) = ค่าใช้จ่ายคงที่ / (ราคาขายต่อหน่วย-ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย)
= 5,000 / (110-6)
= 48.08 ชิ้น หรือ 49 ชิ้น
ดังนั้น นาย A ต้องขายสินค้า ราคามากกว่า 110 บาท และขายให้ได้มากกว่า 49 ชิ้นต่อเดือนจึงจะคุ้มทุน และมีกำไร
10. ภาษีขายของออนไลน์ ฉบับง่ายสำหรับการขายของ
สำหรับผู้ที่ค้าขายออนไลน์แต่ไม่ได้จดทะเบียนในรูปแบบบริษัทจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จัดเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 หรือเงินได้จากการค้าขาย โดยต้องยื่นเสียภาษี 2 ช่วง คือ
- ยื่นภาษีสิ้นปี เดือน ม.ค. – มี.ค. (เป็นการสรุปรายได้รวมทั้งหมดของปีที่ผ่านมา)
- ยื่นภาษีกลางปี เดือน ก.ค. – ก.ย. (เป็นการสรุปรายได้ในช่วงครึ่งปีภาษีแรก ค่าลดหย่อนบางรายการจะถูกหักเหลือครึ่งหนึ่ง)
วิธีการคำนวนภาษี สำหรับร้านค้าออนไลน์ ภาษีหลักๆ จะมีอยู่ 2 แบบ
- เสียภาษีแบบอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- เสียภาษีแบบนิติบุคคล (กรณีนี้สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัท)
ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่มักจะไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ จึงต้องเสียภาษีแบบอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งมีสูตรดังนี้
(รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย
ค่าใช้จ่ายที่นำมาคิดภาษี
- หักค่าใช้จ่ายตามอัตรา 60% สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ซื้อมา ขายไป ไม่ได้ผลิตเอง
- หักค่าใช้จ่ายตามจริง สำหรับร้านค้าที่ผลิตสินค้าเอง
- หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา คือ คิดภาษี 0.5% สำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านบาท
การลดหย่อนภาษี ภาษีขายของออนไลน์
รายการค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่สรรพากรประกาศให้นำมาหักลบกับรายได้ เพื่อให้เราคำนวณ รายได้สุทธิ ออกมากและนำไปเปรียบเทียบคิดภาษีกับตารางอัตราภาษี หรือ คำนวณภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งสามารถดูรายการที่ใช้ลดหย่อนได้ที่ เว็บไซต์ของกรมสรรพากร
เงินได้สุทธิต่อปี อัตราภาษี
0 – 150,000 *ได้รับการยกเว้นภาษี*
150,001 – 300,000 5%
300,001 – 500,000 10%
500,001 – 750,000 15%
750,001 – 1,000,000 20%
1,000,001 – 2,000,000 25%
2,000,001 – 5,000,000 30%
5,000,001 บาทขึ้นไป 35%
หมายเหตุ: กรณีที่พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วยนะคะ โดยปัจจุบันยังจัดเก็บอยู่ที่ 7% นั่นเอง
ยกตัวอย่าง นาย A มีรายได้จากการขายหน้ากากอนามัยออนไลน์ 1 ล้านบาท
ใช้วิธีการคำนวนภาษีด้วยการหักค่าใช้จ่ายตามอัตรา 60% สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ซื้อมา ขายไป ไม่ได้ผลิตเอง เป็นจำนวนเงิน 600,000 บาท และมีค่าลดหย่อนส่วนตัวตามกรมสรรพากรกำหนดอีก 40,000 บาท ดังนั้น นาย A ต้องเสียภาษี คำนวนได้ ดังนี้
(รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย
(1,000,000 – 600,000 – 60,000) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย
(340,000) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย
เงินได้สุทธิต่อปี อัตราภาษี เทียบอัตรา
0 – 150,000 *ได้รับการยกเว้นภาษี* ได้รับยกเว้น
150,001 – 300,000 5% 7,500 บาท
300,001 – 500,000 10% 4,000 บาท (จากจำนวน 300,001 – 340,000 บาท)
500,001 – 750,000 15%
750,001 – 1,000,000 20%
1,000,001 – 2,000,000 25%
2,000,001 – 5,000,000 30%
5,000,001 บาทขึ้นไป 35%
ดังนั้น นาย A ต้องเสียภาษี เท่ากับ 7,500+4,000 = 11,500 บาทนั่นเอง
11. เทคนิคการบริหารเวลาในการขายของ (Time Management)
ในยุคนี้ยิ่งไว ยิ่งได้เปรียบ ไม่ว่าการขายของออนไลน์จะเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม ควรมีแผนการวางแผนเวลาให้ดี เพราะความต้องการของลูกค้ามักมีเวลาจำกัดเสมอ ดังนั้น การตอบไว การส่งไว จึงเป็นเรื่องสำคัญ
- วางระบบร้านให้ดี จะช่วยบริหารเวลาได้
ระบบร้านเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งเวลาในการตอบลูกค้า เวลาแพ็คของ เวลาปิดรอบ และเวลาส่งไปรษณีย์ หากคุณวางเวลาให้ชัดเจนและยึดถือเวลาเหล่านี้เป็นหลักก็จะช่วยให้ประหยัดเวลาได้มากขึ้น - ทำ To do list สิ่งที่ต้องทำ
เพราะการมีเป้าหมายในทุกๆวันจะช่วยให้เราไม่หลุดโฟกัส และสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว และเป็นขั้นตอน โดยไม่ต้องใช้เวลานั่งทบทวนสิ่งที่ต้องทำอยู่บ่อยๆ และยังสามารถเก็บรายละเอียดงาน รายการต่างๆ หรือแม้แต่ออเดอร์ได้ไม่มีตกหล่น - ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีต่างๆที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงานหรือการขายของง่ายขึ้น และยังช่วยซัพพอร์ตให้เราประหยัดเวลามากขั้น ตัวอย่างเช่น
- อยากทำภาพสวยๆสำหรับโฆษณา คุณสามารถเลือกใช้โปรแกรมสำเร็จรูปอย่าง Canva
- หากคุณมีออเดอร์เยอะจนเขียนชื่อลูกค้าทุกคนไม่ไหว ลองเปลี่ยนมาใช้ เครื่องปริ้นท์สติกเกอร์แทน
12. เทคนิคการสร้างความน่าเชื่อถือในการขายของออนไลน์
สิ่งสำคัญที่ควรทำในการขายของออนไลน์ที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อถือและมั่นใจในร้านและสินค้า และสร้างโอกาสให้กับร้านค้าได้ มีดังนี้
- แจ้งราคาสินค้าและรายละเอียดสินค้าครบถ้วน
การใส่ราคา และรายละเอียดชัดเจน เป็นการแสดงความจริงใจต่อลูกค้าที่จะช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและวางใจร้านค้าของคุณได้มากขึ้น เพราะหากลูกค้าพบว่าสินค้าที่ขายไม่ได้มีราคา หรือรายละเอียดมากพอก็จะตัดสินใจเลื่อนผ่าน หรือไม่ซื้อทันที ทำให้เสียโอกาสในการขายไป ดังนั้น ร้านค้าจึงควรระบุราคาและรายละเอียด หรือเงื่อนไขต่างๆให้ชัดเจน - ระบุที่อยู่ของผู้ขาย หรือหน้าร้าน
ลูกค้าจะรู้สึกปลอดภัย และติดตามได้ หากร้านใส่ที่อยู่ที่สามารถติดตามได้ชัดเจน และจะได้รับความสนใจมากกว่า แต่หากเป็นร้านที่ไม่มีหน้าร้าน ก็สามารถใส่ที่อยู่บ้าน หรือที่อยู่ที่ติดต่อได้จริงก็จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น - ข้อมูลของผู้ขาย
การทำคอนเทนต์ขายสินค้าที่มีเจ้าของร้าน หรือพนักงานให้เห็นจะทำให้ได้รับความน่าสนใจ และสร้างความไว้ใจและเพิ่มโอกาสในการขายได้อีกด้วย - เบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้
บางครั้งลูกค้าจะติดต่อผู้ขายผ่านโทรศัพท์ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถติดต่อได้จริง ซึ่งหากติดต่อแล้วผู้ขายสามารถตอบคำถามได้ ก็สามารถปิดการขายผ่านโทรศัพท์ได้ทันที แต่หากติดต่อไม่ได้ ไม่มีคนรับสาย หรือไม่มีการติดต่อกลับ อาจทำให้ลูกค้าสูญเสียความมั่นใจ และไม่อยากซื้อสินค้านั้นอีกเลย - มีหลักฐานการซื้อขาย
การทำการซื้อขายบนออนไลน์ มักจะต้องมีรายการสั่งซื้อและการแจ้งชำระเงินที่น่าเชือถือ เพื่อเป็นหลักฐานว่ามีการซื้อขายกันจริง ซึ่งสามารถเก็บบันทึกไว้เป็นหลักฐานได้
สรุป แม้การขายของจะดูเหมือนมีเรื่องมากมายให้คุณต้องทำ แต่การเริ่มต้นด้วยการวางแผน ศึกษา และวิเคราะห์จะช่วยให้การขายของออนไลน์ในปี 2023 ของคุณง่ายขึ้น และมีโอกาสที่จะเติบโตพร้อมยอดขายพุ่ง กําไรเยอะ เป็นที่รู้จัก อีกทั้ง ยังช่วยให้การลงทุนคุ้มค่า ไม่เสียเปล่าด้วย